หลังว่ารู้ว่า เกร็ง---ทำไห้นอนไม่ได้---เกิดอาการอ้วก---
แต่ก็ผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างทุลักทุเล...ฉันคิดไม่ออกจริงๆว่าเมื่อลูกหินโตขึ้นเราจะรู้ได้ยังไงว่าต้องเจอปัญหาอะไรบ้าง?????
พี่โอ๋ว พี่ร่วมงาน มักเปิดประเด็นใหม่ๆ ให้ฉันคิดอยู่ และคอยห่วงใยครอบครัวฉันเสมอ นั่นซินะ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้าง นอกจากคอยมองเด็กที่มีความพิการเกร็ง จากโรงพยาบาล เหมือนกัน นอกจากนั้น ฉันก็ไม่ค่อยเห็นเด็กๆ พวกนี้ที่ไหนเลย
6 โมง ของเช้าวันหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
พี่แอ๊ะ ภรรยาของพี่โอ๋ว เป็นอีกครอบครัวหนึ่งซึ่งคอยให้กำลังใจ ให้คำปรึกษาต่างๆได้ โทรศัพท์มาหาฉันแล้วบอกว่า “รีบเปิดดูช่อง 5 เร็วมีเด็กที่พิการคล้ายลูกหินออกทีวี เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
สิ้นเสียงพี่แอ๊ะฉันรีบเปิดดูทีวีช่อง 5 ดู เป็นเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งที่ถูกรถชน...จน สมองขาดออกซิเจนแล้วมีอาการเกร็งบริเวณทอนล่าง
มาในนาม มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ ออกมาเล่าถึงสาเหตุ และการรักษาการบำบัดตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน โดยผลการบำบัดเด็กดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉันดีใจมาก......ที่มีมูลนิธิช่วยเหลือเด็กเกร็ง
ในรายการไม่มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ฉันจึงโทรไปหาช่อง 5 ของเบอร์มูลนิธิแห่งนี้ครั้งแรก ที่จะโทร รู้สึกตื่นเต้นและคิดว่าเค้าจะต้อนรับเราหรือเปล่า จะรังเกียจเรากับลูกไหม จะทำยังไงให้เค้าเห็นใจ และเต็มใจช่วยเหลือเรา... คิดสารพัดเพราะนอกจากหมอโรงพยาบาลแล้วยังไม่เคยไปรักษาที่ไหนเลย เหมือนโชคชะตากำลังทดสอบ ความอดทนของฉัน
เราตั้งใจจะซื้อรถ ตั้งแต่ตั้งครรภ์แต่ฉันไม่กล้าขับเพราะเคยชนแท็กซี่ แล้วเข็ดกลัวการขับรถ...แต่ถ้าให้สามีไปส่งทุกๆที่ ที่เรารักษาลูกหิน สงสัยจะถูกไล่ออกจากงานซะก่อนเพราะต้องหยุดทำงานทั้งคู่
ฉันจึงต้องสลัดความกลัวทิ้ง ...แล้วพยายามขับรถด้วยตัวเอง
วันแรกของการออกถนน...เป็นวันที่ฉันต้องพาลูก...น้าจิตรไปมูลนิธิเพื่อเด็กพิการซึ่งอยู่บริเวณลาดพร้าวซอยโชคชัย 4
วันนั้นเจ้ากรรม...ฝนดันตกชนิดไม่เห็นทางมองไปข้างหน้าเห็นสายฝน ซึ่งที่ปัดน้ำฝนความเร็วระดับ 3 ยังเอาไม่อยู่ มองไปข้างหลังรถ เห็นน้าจิตรนั่งกอดลูกอยู่...ปากก็บอกตลอดว่าให้ขับช้าๆระวังให้มากๆ
ในใจคิดว่ากลัวมาก กลัวอุบัติเหตุจะเกิดขึ้น เพราะลำพังที่เราต้องเจอกับ
ปัญหาก็มากพออยู่แล้ว ดังนั้นฉันจึงต้องตั้งสติ และระวังทุกอย่างเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ มองดูถนนอย่างมีสติ ขับรถอย่างระมัดระวัง ขับอย่างช้าๆใจเย็นอย่างถึงที่สุด ตื่นเต้นมากกับการขับรถครั้งแรกแล้วต้องมีลูกนั่งอยู่ข้างหลังเป็นเดิมพันและคิดว่าฉันพลาดไม่ได้
และแล้วเราก็มาถึงมูลนิธิด้วยความปลอดภัย
วันที่ 20 กันยายน 2544”
วันนี้เป็นวันแรกที่ไปทำความรู้จักกับ “มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ”
อยู่ที่ลาดพร้าว ซอย 53 ซึ่งรู้จักในรายการ “เช้าวันนี้ที่ช่อง 5”
เราได้พาลูกไปหาพี่ๆ ครูๆ ที่มูลนิธิ...ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นมาก
โดยไปครั้งแรกได้รับความรู้เพิ่มเติมดังนี้
• ควรกระตุ้นเรื่องสายตาให้มากกว่านี้ โดยใช้กระจกติดที่บ้าน เวลาฝึกควรฝึกต่อหน้ากระจก
•กระตุ้นด้วยของเล่นที่เคลื่อนไหว อาจจะเป็นลูกโป่ง หลายๆลูกแล้วใช้พัดลมเป่าให้ลอยไปลอยมา
•ฝึกการชันคอให้มาก โดยใช้หมอนข้างดันตัวชันคอ พร้อมฝึกนั่งโดยนั่งขัดสมาธิ แล้วให้ใช้มือชันลงพื้นข้างๆลำตัว
•ต้องรีบไปรับโปรแกรมการฝึกพัฒนาที่โรงพยาบาลเดิม ให้ได้
•ครูเตือนว่าจะต้องกายภาพลูกช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้
•ควรจะพูดหรือบอกลูกทุกครั้งและให้รางวัลกับลูกทุกครั้งที่เขาสามารถทำได้
•วิธีการฝึกของลูก ควรจะเป็นการเล่น ควบคู่ไปกับการฝึก ที่สำคัญต้องดูอารมณ์ลูกเป็นสำคัญ นัดครั้งใหม่ วันที่ 30 กันยายน 2544 (วันอาทิตย์)
ฉันได้ความรู้ใหม่ๆ มาจากมูลนิธิ และคิดเสมอว่า
ลูกหินคือหนังสือเล่มใหญ่ที่ฉันต้องอ่าน ต้องคิดอยู่ตลอดเวลา เพราะยิ่งถ้าเรารู้เยอะเกี่ยวกับโรคของลูกที่เป็นอยู่ เชื่อเสมอว่าจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
ฉันคิด...แล้วลงมือทำ...ทันที
น้าจิตร+ลูกหิน+ฉัน เราพากันไปเข้าอบรมกิจกรรมแรกของมูลนิธิเพื่อเด็กพิการ นั่นคือ “อบรมพ่อแม่มือใหม่” (ส่วนคุณพ่อต้องทำงานเลยมาอบรมด้วยกันไม่ได้)
ในกิจกรรมพ่อแม่มือใหม่ ในความรู้สึกของฉัน
มันเหมือนโรงเรียน ที่สอนเราว่า ถ้าเรามีลูกพิการ เราต้องทำอะไรบ้าง ให้ลูก เพื่อลูก จะได้ทรมานน้อยที่สุดจากโรคสมองพิการ
การเรียนรู้ กายภาพขั้นพื้นฐานที่จำเป็นของลูก คือการป้องกันข้อต่างๆ ที่อาจจะติดได้ในอนาคต ถ้าเราไม่ทำทุกวัน ได้รับความรู้จากหมอโดยตรงว่า โรคพิการทางสมองคืออะไร จะป้องกันรักษา จะดูแล ฯลฯ
อย่างไรให้ถูกต้อง และสามารถนำกลับไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเห็นอกเห็นใจ ในสิ่งที่เกิดกับลูกของเรา ทำให้มีเพื่อนร่วมแนวทางเดียวกันไม่อ้างว้างเหมือนเป็นอยู่คนเดียวในโลกนี้
ถูกถ่ายทอด ให้รู้จักต่อสู้ให้ลูก โดยพาลูกไปดูเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ตามสถานสงเคราะห์ว่า เด็กเหล่านี้ พ่อแม่ยอมแพ้ ...ปล่อยให้ลูกผจญชะตากรรม ในบ้านสถานสงเคราะห์...ที่เค้าอาจจะคิดว่า มีทุกอย่างในการรักษา ไม่ว่าจะสระว่ายน้ำเพื่อการบำบัด ห้องฝึกกิจกรรมต่างๆ นักกายภาพที่อยู่ประจำ อาหารการกินครบ 3 มื้อ ดูเหมือนจะมีครบทุกอย่าง แต่สิ่งที่ฉันเข้าไปสัมผัสซึ่งเด็กที่
นี่ขาดแคลนที่สุดคือ “ความรัก” มันขาดหายไป...ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะไม่ให้ ...แต่ทว่าเด็กที่มีปริมาณมากเกินจนให้ไม่ไหวต่างหาก
ภาพเหล่านี้ มันจำฝังใจ ให้ฉันต้องสู้ เพื่อลูก เพราะเราเห็นอนาคต ถ้าไม่ฝึกไม่กายภาพ ฯลฯ อนาคตลูกจะเป็นอย่างไร
รู้จักการรวมกลุ่ม เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ ได้มาจากการอบรมพ่อแม่มือใหม่ทั้งนั้น
ต้องขอขอบคุณ มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ ที่สร้างฉัน สร้างลูก สร้างครอบครัว ให้พลังและกำลังใจ ให้เข้มแข็ง เพื่อช่วยลูกต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
..............ขอบคุณ ด้วยหัวใจ...................
เกร็ดความรู้ : มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ มีประสบการณ์ช่วยเหลือโดยตรงกว่า 20 ปี และสามารถขอความช่วยเหลือได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย...
โทร. 02-5399709, 02-5399958 ครูมด...ผู้ทำหน้าที่ช่วยเหลือทุกกำลังใจ ...เติมในส่วนที่ขาดของเด็กๆให้เต็ม
เว็บไซด์ : www.hoytakpoolom.org
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
1 ความคิดเห็น:
ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณแม่และน้องไข่มุกสู้ต่อไปนะคะ
กิจกรรมกระตุ้นกล้ามเนื้อมือมัดเล็ก คือให้น้องฉีกกระดาษพร้อมนับเลข แล้วให้น้องขยำรวมกันเป็นลูกบอลเล็กๆแล้วปา ยิ่งทำเป็นกลุ่มจะสนุกมาก
เสร็จแล้วร้องเพลง เก็บ เก๊บ เก็บ ช่วยกันเก็บกระดาษที เร็วคนดี เก็บกระดาษเข้าที่กันเอย
แสดงความคิดเห็น