วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550

บทที่ 09 รักอย่างเดียว...ไม่พอ

ฉันได้โอกาสดีๆ เสมอ หลังจากเราเข้ารับการอบรม พ่อแม่มือใหม่แล้ว...เมื่อมีการอบรมที่เป็นประโยชน์สำหรับลูก ฉันจะไปทุกครั้ง
วันหนึ่งได้มีโอกาสไปฟังคุณหมอมาบรรยายเกี่ยวกับเรื่องโรคสมอง... โชคดีของฉันจริงๆ ที่ได้มีโอกาสฟัง ได้ถาม ได้รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้เกี่ยวกับโรคของลูกอย่างละเอียด คุณหมอมาจาก ร.พ.พระมงกุฎ เป็นหมอหนุ่มใจดี และที่สำคัญ
ไม่รำคาญคุณแม่ ที่มี 108 คำถาม ถามท่านตลอดเวลา ที่มาบรรยาย วันนั้นได้รับความรู้มาเยอะพอสมควรทำให้เข้าใจโรคสมองพิการละเอียดขึ้น คุณหมอชาคริน ณ บางช้าง โรงพยาบาล พระมงกุฎ เล่าว่า

ปกติสมองของคนจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
ส่วนหน้า : เอาไว้คิด
ส่วนกลาง : คือควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายทั้งหมด
ส่วนหลัง : คือส่วนของความจำที่เราจำอะไรต่อมิอะไรต่างๆ
เพราะฉะนั้นเด็กสมองพิการ ก็คือ เด็กที่สมองได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะมาจาก เช่น เด็กตกน้ำ เด็กเป็นไข้แล้วชัก ติดเชื้อตั้งแต่ตั้งครรภ์ แม่ป่วยตอนตั้งครรภ์ เด็กป่วยแล้วให้ยาเกินขนาด ฯลฯ สารพัดที่จะทำให้สมองเสียหาย

แต่เมื่อ เสียหายแล้ว ผลก็จะออกมาเหมือนกันก็คือ เกร็งก็ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสแค่เด็กอย่างเดียว ผู้ใหญ่เราก็มีสิทธิเป็นกันได้เช่นกัน ดูอย่าง พี่บิ๊ก D2B นั่นก็เกิดมาจาก เชื้อราเข้าไปทำลายสมอง พอเป็นอาการจะเหมือนกันหมด คือเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ มาฝึกกิน นั่ง ยืน เดิน ใหม่ ต้องกายภาพเป็นหลักเพราะมีอาการเกร็งร่วม

คุณหมอเล่าว่า.......
ถ้าเราดูแล 3 เรื่อง ดี เด็กก็จะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น นั่นคือ
1. กายภาพดี : หมายถึง กายภาพอย่างพอเพียง ทุกข้อไม่ยึดติด เราสามารถสังเกต ได้ว่ากายภาพเพียงพอหรือเปล่าโดยดูจากร่างกาย ถ้านิ่มเหมือนเราคนปกติก็น่าจะเพียงพอ แต่ถ้าจับแล้วตามร่างกายแข็งเหมือนท่อนไม้แสดงว่า ไม่เพียง

2.ควบคุมการชักได้ดี : หมายถึง ถ้าเด็กคนนั้นแม่กายภาพอย่างเพียงพอ แต่มีอาการชักเป็นระยะแสดงถึงอาการไม่ดี อยู่แล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้นต้องควบคุมการชักไม่ให้เกิดหรือถ้ามันจะเกิดก็ให้น้อยที่สุด เท่าที่เราจะทำได้

3.โภชนาการที่ดี : หมายถึงเด็กต้องได้รับอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อไปบำรุงเลี้ยงสมองส่วนที่ดีให้มีประสิทธิภาพซึ่งจริง ๆแล้วกการกินกับเด็กสมองพิการเป็นเรื่องยากอยู่พอควร

ดังนั้นถ้าเราดูแล 3 เรื่องได้....จะทำให้ลูกหินอยู่กับแม่ได้อีกนาน
ซึ่งฉันคิดว่าฟังคุณหมอ ดูเหมือนง่าย แต่จริงๆแล้วไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ บนโลกใบนี้ เมื่อรู้วิธีการกราก็จะค่อยๆ ทำตามไป...และคิดว่าสักวันคงจะได้ผล
คุณหมอยังพูดเรื่องยาอีกว่า
“คนไข้ ควรจะถามหมอให้ละเอียด เมื่อได้รับยามาว่า”
ต้องถามผลข้างเคียงของยา
ยามีตัวอื่นไหมที่รักษาโรคเดียวกัน
ทำไมถึงเลือกตัวยาชนิดนี้
มีวิธีสังเกตผลข้างเคียงได้อย่างไร
โอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงมีกี่เปอร์เซ็นต์
ถ้าเกิดจะเป็นอย่างไร
และจะแก้ไขอย่างไรเมื่อเกิดขึ้น

เมื่อได้รับคำตอบจากหมอ...เราก็ต้องชั่งใจในการใช้ยากับลูก เพราะสุดท้ายผลที่ได้รับจากยา.......เราจะต้องอยู่กับลูกตลอดไป
หมอเป็นเพียงคนคอยชี้แนะเท่านั้น

ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยลูกให้อายุยืนได้คือ ความรอบคอบ รอบรู้ จากผู้เชี่ยวชาญ นั่นเอง ดังนั้นครอบครัวเราดำเนินชีวิต ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะลูกหิน ฉันอดทนกับทุกๆ เรื่องที่เข้ามาในชีวิตของเรา แม้คำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า อดทนย่อมมีที่สิ้นสุด ....แต่มันใช้ไม่ได้กับฉัน เพราะทั้งอดทนทั้งพยายามสู้กับโรคที่ลูกเป็นอยู่...แต่แล้ววันหนึ่ง...ความรู้สึกสูญเสียกำลังเดินทางมาหาฉัน ทำไม !!!!!!!! ความอดทน ความพยายาม ที่ฉันทำมันยังไม่พอต่อการมีชีวิตของลูกเหรอ???? ฉันเริ่มโทษโชคชะตา ตั้งแต่เกิดมา....จนอายุ 34 ปี เพิ่งสัมผัส กับคำว่าสูญเสีย มันเป็นอารมณ์ที่ทรมาน อ้างว้าง เศร้าโศก เสียใจ....จนยากจะพรรณนาให้คนที่ไม่เคยได้เข้าใจหมด...ฉันกลัว กลัวว่าลูกกำลังจะจากฉันไป เพราะสถานการณ์บางอย่างมันบ่งบอกอย่างนั้น

ลูกหินกินยาชักที่ร.พ.เดิมที่เค้าคลอด หมอนัดอีก 1 เดือนให้ไปหาแต่ปรากฏว่าจัดยาขาดให้มาแค่ 3 อาทิตย์...เป็นเหตุทำให้ลูกชัก เราเลยเข็ดกับรพ.นั่นมากจึงพาไปหาคุณหมอชาคริน เพื่อรักษาโรคชักให้ต่อเนื่อง
หมู่นี้ ลูกหินมีอาการอะไรแปลกที่เราไม่เคยเห็น

เช่น ตามข้อพับ เขียวช้ำ เหมือนปีกไก่ที่ซ้ำๆ ระหว่าง ข้อ
เวลาตื่นนอนจะมีเลือดกลบปากทุกเช้า พ่อเค้าแซวว่าสงสัยลูกหินเมื่อคืนไปกินตับใครมาเลือดกลบปากมาเชียว
แต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะลูกไม่มีไข้ ตัวไม่ร้อน แค่เขียวๆซ้ำๆ เท่านั้นเอง

Picture 1.png

Picture 2.png

Picture 7.png

วันนั้นไปตามนัดคุณหมอชาคริน...พอไปถึงคุณหมอตรวจได้แค่ 5 นาที แล้วรีบบอกให้ลูกหิน เกล็ดเลือดต่ำ คุณหมอชาคริน...พอไปถึงคุณหมอตรวจได้แค่ 5 นาที แล้วรีบบอกให้ลูกหิน เกล็ดเลือดต่ำ มีหน้าที่ทำให้เลือดแข็งตัว ถ้าต่ำกว่านี้ จะทำให้เลือดออกง่ายและไหลไม่หยุด เด็กอาจเสียชีวิตได้ทันที!!!!!

พอสิ้นเสียงคุณหมอ....เราตกใจมากทำอะไรไม่ถูก....รู้อย่างเดียวว่าถึงมือคุณหมอแล้ว...คงไม่น่าเป็นห่วง (ฉันแอบปลอบใจตัวเอง)
Picture 4.png

อาทิตย์แรกในโรงพยาบาล
คุณหมอสั่งให้เกร็ดเลือด ฉีดให้ลูกหิน 3 กระบอกใหญ่ๆ จาก 8000 ขึ้นมาเป็น 88,000 ค่อยยังชั่ว แต่ตอนอยู่โรงพยาบาลเราได้ห้องคู่ เพราะห้องเดี่ยวเต็ม เรารู้ว่าลูกเราไม่ชอบอากาศเย็นเท่าไหร่ แต่เด็กที่นอนกับลูกเค้ากลับขี้ร้อนเลยเปิดแอร์เย็นเฉียบเลย...ผลลัพธ์...ลูกเป็นปอดบวมอีก

อาทิตย์ที่ 2 ในโรงพยาบาล..........
ลูกเป็นปอดบวมเกร็ดเลือดต่ำลงไปอีก 8000 ระหว่างนั้นอีกสุกอีใสระบาดหนัก คุณหมอบอกว่าให้แม่ตัดสินใจเสียเงิน 5000 บาท เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันไว้ก่อน เท่าไหร่ก็ยอมจ่าย ถ้าลูกปลอดภัยมากขึ้น อาทิตย์นี้ลูกดูแย่มากมีไข้ตลอด หมอบอกว่า ต้องดูดไขสันหลังว่าเกร็ดเลือดต่ำมาจากสาเหตุอะไร เพราะ 2 อาทิตย์แล้วอาการไม่ดีขึ้น เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง

การดูดไขสันหลังถ้าผลเกิดจากกระดูกสันหลังผิดปกติ แสดงว่าลูกหินเป็นมะเร็ง แต่ถ้าไม่ใช่ก็ถือว่าโชคดี ไม่ใช่มะเร็ง
ฉันตื่นเต้นกระวนกระวายใจ ในผลการตรวจไขกระดูกสันหลัง และรู้สึกแย่มากขึ้น เรื่อยๆ ผล คือปกติไม่ใช่มะเร็ง

ฉันดีใจที่ไม่ใช่มะเร็ง แต่ก็เสียใจที่หมอเองก็หาสาเหตุไม่เจอ
ระหว่างการรักษาคิดวนไปวนมาอยู่ตลอดว่าเรารักษาดีพอ ถูกหรือยัง หรือต้องไปอีกโรงพยาบาลถึงจะหาย....สารพัดที่จะคิด ...คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

อาทิตย์ ที่ 3
เกร็ดเลือดจาก 8000 เหลือ 3000!!!! ลูกต้องอยู่ในสภาวะนิ่ง ห้ามกระทบกระเทือนทั้งสิ้น .... เพราะอยู่ในช่วงอันตราย ถึงขั้นเสียชีวิตได้ตลอดเวลา

ฉันแทบบ้า....ลูกกำลังจะจากฉันไปจริงๆ หรอ ไม่อยากเชื่อ ฉันต่อสู้ให้เค้ามาทุกรูปแบบ...ขอชีวิตลูกไว้ได้ไหมคะ
ลูกจะไม่อยู่กับฉันแล้ว...จะทำยังไงดี....จะทำยังไง ให้จำฝังใจว่าครั้งหนึ่ง มีลูกพิการทางสมอง ซึ่งแม่รักดั่งดวงใจ ถึงเค้าจะอยู่หรือไม่.....อยากจะบอกให้โลกรับรู้ ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่ฉันมอบให้ลูกหิน

Picture 3.png

เขียน.....ใช่ต้องเขียนส่งลงหนังสือ อะไรได้ ให้เค้ารู้ว่ารักลูกมากแค่ไหน
ฉันเขียนพร้อมบรรยายความรักที่มีให้ลูก....หนังสือดวงใจพ่อแม่รับเรื่องต่อและอนุญาตให้ฉันลงตีพิมพ์
ฉบับที่ 93 ปีที่ 8 เดือน ก.ค. 2546 หน้าที่ 51ในหัวข้อ “พลังแห่งรัก”

คุณหมอโทรมาบอกว่า ต้องสั่งยาหยุดเลือดสำรองให้ลูกหินด่วน (ชื่อยา ฮีโมโกบินฯ) เข็มละ 30,000 เพราะเลือดออกจะไหลไม่หยุดเด็กอาจจะเสียชีวิตได้ ถึงวินาทีนี้แล้ว ....เท่าไหร่ฉันก็ยอมจ่าย....เพื่อแลกกับชีวิตลูกหิน

ในโรงพยาบาลไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่จะอดทนมากสักเพียงไหน....จะรักษาลูกอย่างสุดความสามารถ ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล....ลูกก็ไม่ดีขึ้นเลย...จนหมดปัญญา อ่อนแรง ท้อแท้ไปหมด และช่วงนี้เป็นช่วงที่ทุกข์ที่สุดอีกช่วงหนึ่ง

Picture 5.png

การป่วยของลูกครั้งนี้สอนให้ฉันรู้ว่า ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต...ฉันรักลูกมาก มาก...จนตัวเองเป็นทุกข์เหลือเกิน มิน่า...พระพุทธเจ้าถึงสอนให้เรารู้จักการเดินทางสายกลาง ฉันมันสุดโต่งเกินไป

ต่อไปนี้... ฉันจะดูแลลูกให้เต็มความสามารถ ..ผลจะเกิดอะไรก็ต้องปล่อยมัน ไม่ใช่ว่าตัวเองเก่ง..คิดได้อย่างงั้น แต่ถ้าไม่คิดอย่างนงั้น ฉันจะบ้า “ต้องปลงให้เป็น...แล้วจะเย็นใจ”

ในที่สุด....ลูกหินได้ออกจาก รพ. ด้วยเกร็ดเลือด 113,000 แต่หาสาเหตุไม่เจอว่าเพราอะไรถึงเกร็ดเลือดต่ำ..ช่างมันเถอะพยายามแล้วไม่เจอก็ปล่อยมันไปทุกข์มามากพอแล้ว...ขอมีความสุขกับการที่ลูกได้กลับบ้านแม่ก็พอใจแล้วจ้า ครั้งนั้น เข้า รพ. ตั้งแต่ 23 ต.ค.45- 15 ก.ย.45 รวม 23 วัน ใช้เงินไป 44,125 บาท

Picture 6.png

เกร็ดความรู้ : เมื่อเรามีลูกพิเศษ สิ่งที่เราต้องทำคือ...ทำตัวให้เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว...และทำวันนี้ให้ดีที่สุด...ทุกๆ วัน

ไม่มีความคิดเห็น: