วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2550

บทที่ 04 สู้...กับใจตัวเอง

คืนนั้น...ช่างเป็นคืนที่ทรมานสำหรับฉันกับลูก เสียงพลุดังขึ้นเป็นระลอก มันปนคลุกเคล้ากับเสียงสะอื้นของฉันที่กอดลูกไว้แน่น แนบกับอกตัวเอง...ไม่อยากให้ใครรับรู้ถึงความเจ็บปวดครั้งนี้...อยากให้ทุกคนในบ้านสนุก กันให้เต็มที่เพราะพวกเค้ารู้ไป...ก็มีแต่ทุกข์ใจไปเปล่าๆมันคงไม่ช่วยให้ดีขึ้นได้

ฉันไม่รู้ว่าทำไมไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้ จริงสินะ มันเป็นวันแรกที่ได้รับรู้ความจริงว่าลูกเป็นอะไร ฉัน ร้อง ร้อง ร้อง จนไม่มีน้ำตาจะไหล “ลูกจ๋า” แม่ขอโทษที่ทำให้หนูเกิดมาแล้วทรมาน คืนนี้แม่ขอเสียใจ ขอร้องไห้กับสิ่งที่เกิดขึ้น และสัญญาว่าหลังจากคืนนี้ไป แม่จะเข้มแข็ง แต่ตอนนี้แม่รู้สึกแย่มากคงจะมีเพียงหนูคนเดียวเท่านั้น อยู่เป็นเพื่อนแม่ ยามที่แย่ที่สุดในโลก

3.jpg

2 มกราคม 2544 น้าผู้แสนดี สังเกตว่าทำไมหน้าตาฉันถึงได้บวมตุ่ย ขนาดนั้น ก็จะไม่ให้บวมได้ยังไง....ร้องไห้ทั้งคืน...น้าเค้นถามความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันเล่าให้น้าฟังว่า ลูกหินเป็นเด็กสมองพิการ พิการจากหินปูนเกาะสมอง ทำให้ลูกไม่มีการพัฒนาการใดๆ เลย เพราะตอนนี้ 6 เดือนพัฒนาอะไรไม่มีเลยแถมยังมีอาการน่าเป็นห่วงคือ อาการเกร็ง สิ่งที่เห็นเด็กกำมือแน่น ทานข้าว ทานนมได้น้อยเพราะเด็กเกร็ง และจะเกร็งมากขึ้นเรื่อยๆ

พอฉันเล่าจบ...น้านั่งทรุดกับพื้น น้ำตาเริ่มซึมออกมาจากนัยน์ตา เค้าเริ่มโทษตัวเองว่า “น้าผิดเองที่ซื้อพลุมาจุดที่จัดงานเลี้ยงที่บ้าน” ทำให้ฉันกับลูกสะดุ้งผวากันทั้งคืน แล้วก็เริ่มโกรธฉันว่า เรื่องร้ายขนาดนี้ทำไมไม่บอก ไม่เล่าให้ฟังทำไมต้องเก็บความทุกข์ไว้คนเดียว นี่แหละนิสัยของฉัน ไม่ต้องการให้คนอื่นทุกข์
สามีเดินทางมาลำปาง ...ฉันเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่ทราบจากคุณหมอให้เค้าฟัง สามีนิ่ง ไม่พูด...แตกต่างกับฉันอย่างสิ้นเชิง...เค้าต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว..ไม่โวยวาย ไม่ฟูมฟาย...และไม่ทอดทิ้ง เราต้องช่วยกันแก้ปัญหา


เมื่อเรารู้คำตอบ...จากคุณหมอ...ฉันต้องไปเช็คเพิ่มเติมและภาวนาให้คุณหมอท่านแรกตรวจผิด...ผลท่านอาจจะอ่านผิดก็ได้ ดังนั้นต้องไปหาความจริงเพิ่มเติม
ฉันเปลี่ยนแผนเลี้ยงลูกทันทีพาลูกมาอยู่กรุงเทพฯทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าใครจะช่วยเลี้ยงในขณะที่จะต้องไปทำงาน...ยังไง หนูก็ต้องอยู่กับแม่ ... แม่เท่านั้นที่จะช่วยลูกได้ นั้นคือความคิดอย่างเดียวที่ฉันจดจ่อ

เราพาลูกไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ตรวจเอ็กซ์เรย์สมองโดยตรง เพื่อหาสาเหตุว่าเป็นหินปูนอย่างไร จะเป็นหินปูนเหมือนที่ติดกับฟันของเราหรือเปล่าที่สามารถแคะออกได้แล้วก็จะหาย จากโรคสมองนี้หรือเปล่า

ผลตรวจออกมาว่า หินปูนที่เกาะสมองลูกมันเป็นเหมือนเม็ดทรายที่กระจายเต็มทั่วสมองไปหมด ...หมอคนแรกท่านบอกเราว่า เด็กจะไม่มีพัฒนาการเพราะหินปูนมันกระจัดกระจาย ตามเนื้อสมองทุกส่วนเลย มันเป็นความจริงที่ฉันไม่อยากรับรู้ แต่ฉันต้องรู้ แม้มันเจ็บปวดขนาดไหนฉันก็ต้องทน และสู้กับความจริง ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นแม่คน

4.jpg

หมอบอกว่า เด็กบางคนอาจจะเกร็ง เฉพาะซีกซ้ายบ้าง หรือบางคนเฉพาะซีกขวาบ้าง บางคนเฉพาะท่อนบน บางคนเฉพาะท่อนล่าง แต่หมอเสียใจที่ต้องเรียนคุณแม่ตรงๆว่าลูกของคุณจะเกร็งทั่วตัว ขาจะเกร็งขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อยใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปยากขึ้น เพราะขาหนีบเกร็ง หมอบอกว่าให้คุณแม่ทำใจเลี้ยงเท่าที่เราไหว ไหวแค่ไหนเอาแค่นั้น คุณหมอพูดยังไม่ทันจบ น้ำตาเริ่มร่วง ฉันได้แต่ฟังคำแนะนำจากคุณหมอ แต่คนเป็นแม่ไม่มีคำว่าไหน มีแต่คำว่าสู้ ถึงรู้ว่าแพ้...ก็ยังขอสู้กับโรคดูสักครั้ง แต่ไม่เข้าใจคุณหมอทำไมไม่ให้กำลังใจฉันเลย หรือว่าท่านรู้...หนทางที่จะช่วยลูกมันมืดมิดไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ หมออาจจะเจอเด็กพิการทางสมองมาเยอะ และคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้..มันคงยากเกินไป
แต่ชีวิตนี้ฉันก็เพิ่งรู้จักโรคสมองพิการครั้งแรก...จะให้ยอมแพ้แล้วหรือ ถ้ายอมแพ้ลูกจะเป็นยังไง ฉันไม่ยอมแพ้ทั้งๆที่ยังไม่ได้สู้ ... ลูกรักช่วยเป็นกำลังใจให้แม่ด้วย

เกร็ดความรู้ : เมื่อรู้ว่าลูกไม่ปกติ สิ่งที่ต้องรีบแก้ไข ไม่ใช่ลูก มันคือใจของเราเอง ทุกคนต้องรีบยอมรับความจริง...จากนั้น หนทางรักษามันจะตามมาเอง

ไม่มีความคิดเห็น: